พระพุทธศาสนา เป็นส่วนหนึ่งในการวางรากฐานในการเกิดวัฒนธรรมการศึกษาชาวพุทธ และยังมีอิทธิพลในการเกิดประเพณีต่างๆ จนกลายเป็นประเพณีเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่น นั้น ๆ นำไปสู่การเกิดความสุข สงบ สันติ ไปทั่วๆโลก ทั่วทุกศาสนา รวมใจเป็นหนึ่งเดียวเพื่อสันติสุขของชาวโลก

การศึกษาของชาวพุทธ เริ่มแรกอยู่ในสังคมสงฆ์ หมายถึง พระภิกษุสงฆ์ได้มีการศึกษาพระธรรมและวินัย เพื่ออบรมฝึกฝนตนให้เป็นพระภิกษุที่มีความประพฤติดีเป็นที่น่าเคารพ น่าเลื่อมใส ทำให้ประชาชนเกิดศรัทธาในการเข้ามาศึกษาหลักธรรมในพระพุทธศาสนา สามารถนำหลักธรรมไปใช้ในชีวิตประจำวัน มีชีวิตในทางสังคมที่ปลอดภัยและสงบสุข ดังนั้น พระพุทธศาสนาเผยแผ่ไปที่ใด ก็ไม่ขัดแย้งต่อความเชื่อดั้งเดิม เหมือนการลอยกระทงในแต่ละท้องถิ่นที่นำปรากฎการณ์สมัยพุทธกาลไปเป็นคติสอนใจ ปฏิบัติ เพื่อสอดคล้องในกิจกรรมชุมชนท้องถิ่น เพื่อให้ทุกคน ได้อยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข เป็นสังคมที่น่าอยู่ และปลอดภัย จนเป็นประเพณีที่ดีงาม เกิดความสงบสุข คนในสังคมมีศีลธรรมประจำใจ เป็นการปฏิบัติเพื่อให้เกิดความเจริญงอกงามในการชีวิต อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข จนกลายเป็นวัฒนธรรมการศึกษาของชาวพุทธ สร้างประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น สืบต่อๆ มากันมาเป็นระยะเวลายาวนาน
ในยุคประวัติศาสตร์ของไทย สมัยสุโขทัย หากกล่าวถึงด้านประเพณีท้องถิ่น
จากหลักฐานหลักศิลาจารึกที่ ๑ ด้านที่ ๒ แถวที่ ๑-๒๓ ด้านประเพณีท้องถิ่น :
การเผาเทียน เล่นไฟ ในวันออกพรรษา พ่อขุนรามคำแหงทรงแนะนำสั่งสอนให้ประชาชนได้รู้จักทำทาน รักษาศีล ทำภาวนา ตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นต้นแบบในการทำให้ดู ปฏิบัติให้เห็น ลูกเจ้า ลูกขุนชาววัง และราษฎรทั้งหญิงชายต่างก็มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา จะถือศีลกันเมื่อถึงวันเข้าพรรษา และเมื่อออกพรรษาก็จะมีการทอดกฐิน ถวายสังฆทาน มีการจัดพานดอกไม้ พานเงิน พานทอง หมอน และเงินอีกสองล้านเบี้ยเพื่อถวายกฐินและสังฆทานที่วัดในป่า ตลอดเมืองจะมีการตีกลอง มีการละเล่นดนตรี ขับร้องเพลง ขับทำนองเสนาะ กันอย่างสนุกสนาน ผู้คนต่างเบียดเสียดกันเข้ามาชมการเล่นเผาเทียนและการเล่นไฟ ทั่วเมืองสุโขทัยตลอดสี่ทิศ

ประเพณีการเผาเทียนเล่นไฟ เป็นงานรื่นเริง สนุกสนาน แสดงให้เห็นถึง การทำกิจกรรมที่วัด วัดจึงเป็นจุดศูนย์รวมใจ ความรัก ความสามัคคี และ ความใกล้ชิด ระหว่างผู้ปกครอง ขุนนาง พ่อค้า ประชาชน เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงนับถือพระพุทธศาสนา ก็ทรงนำคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าไปปรับใช้กับประเพณีท้องถิ่น กลายเป็นประเพณีประจำท้องถิ่นที่สืบต่อ ๆกันมาถึงปัจจุบัน ลอยกระทงก็เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ให้ชาวบ้านได้บูชาพระรัตนตรัยด้วยดวงประทีปและดอกไม้ของหอม เป็นอามิสบูชา
หากจะกล่าวถึงการลอยกระทงในสมัยปัจจุบัน ตามตำนานด้านพระพุทธศาสนา
ก็ได้นำเหตุการณ์ในยุคพุทธกาล มาเป็นนิมิตหมายในการลอยโคมและลอยกระทง
เพื่อระลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย เช่นดังตำนานที่จะกล่าวต่อไปนี้ ให้ทราบพอสังเขป
ก่อนอื่นควรทำความเข้าใจคำเรียก คำว่า ลอยโคม เป็นคำใช้เรียกแบบลำลอง หรือใช้เรียกแบบภาษาชาวบ้าน มาจากคำหลักๆที่ใช้คือ พระราชพิธีจองเปรียง ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยสุโขไทย ส่วนคำว่า ลอยพระประทีป มีคำเรียกลำลองว่า ลอยกระทง ดังนั้น ลอยโคม จึงไม่ใช่คำเรียก ลอยกระทง หรือ มีต้นเค้ามาจาก ลอยพระประทีป แต่เพราะการจัดงานมีการจัดคาบเกี่ยวกันด้วยเวลาติดต่อกัน จึงทำให้ นำคำลำลอง ของ ลอยโคม [หรือพระราชพิธีจองเปรียง] มาใช้เรียก กันว่า ลอยกระทง[ลอยพระประทีป] อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศิลาจารึกสุโขไทยหลักที่ 1 สุภาษิตพระร่วง นางนพมาศ และพงศาวดารโยนก
ตำนานการลอยกระทงบูชารอยพระพุทธบาท
สมัยพุทธกาล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเสด็จไปแสดงธรรมโปรดพญานาคยังแม่น้ำนัมมทา
ให้รักษาอุโบสถศีล และให้ยึดพระรัตนตรัยเป็นสรณะ
ก่อนที่พระพุทธองค์เสด็จออกจากนาคพิภพ
พญานาคทูลอ้อนวอนว่า…
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงประทานสิ่งที่ควรสละแก่ข้าพระองค์สักอย่างด้วยเถิด
สิ่งที่พระองค์ทรงมอบให้ จะได้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของข้าพระองค์ทั้งหลาย”
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอธิษฐานจิตพลางแสดงเจดีย์ คือ รอยพระบาทไว้ ณ ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทา
ซึ่งตามปกติของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงมีพระฉวีวรรณละเอียด
สถานที่ที่ทรงเหยียบย่ำไป เป็นเหมือนสถานที่ที่รองรับปุยนุ่น รอยพระบาทยากที่จะปรากฏให้ใครเห็น
เหมือนรอยเท้าของม้าสินธพที่มีฝีเท้าเร็วดุจลม มีกำลังเร็วเหยียบลงบนใบบัว น้ำก็ไม่กระเพื่อม
เพราะฉะนั้น รอยพระบาทของพระพุทธองค์จะไม่ปรากฏทั่วไป แต่ถ้าพระพุทธองค์ทรงอธิษฐานจิตไว้
รอยพระบาทก็จะตั้งอยู่อย่างนั้นชั่วกัปชั่วกัลป์
ตำนานการลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณี
พระจุฬามณีเป็นชื่อของพระเจดีย์ซึ่งประดิษฐานอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ทุกวันพระ ๑๕ ค่ำ เหล่าเทพบุตรเทพธิดาจากสวรรค์ทุกชั้นฟ้า จะหยุดการละเล่นชั่วคราว
เพื่อนำดอกไม้มาบูชาพระเจดีย์อันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
ในองค์พระเจดีย์มีพระเกศโมลีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระทันตธาตุเบื้องขวาของพระองค์
เหล่าทวยเทพถือว่า การได้ทัศนาสิ่งที่เนื่องด้วยพระพุทธเจ้า
เปรียบเสมือนได้นอบน้อมต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า
แม้ดับขันธปรินิพพานไปนานแล้วก็ตาม
พระเกศาโมลีนี้ ท้าวสักกเทวราชทรงนำขึ้นไปประดิษฐานไว้ตั้งแต่วันที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ คืนวันนั้น พระมหาบุรุษทรงตัดสินพระทัยเด็ดเดี่ยว ขี่ม้ากัณฐกะเสด็จออกไปพร้อมด้วยนายฉันนะอำมาตย์ มุ่งหน้าสู่ป่าเพื่อออกบวชทำพระนิพพานให้แจ้ง
เมื่อพระองค์เสด็จถึงฝั่งแม่น้ำอโนมา ทรงลงจากหลังม้ากัณฐกะ แล้วดำริว่า
“ผมของเรานี้ ไม่สมควรแก่สมณะ”
จึงเอาพระขรรค์ตัดพระเกศโมลีให้เหลือพระเกศาไว้ประมาณ ๒ นิ้วมือ
เป็นที่น่าอัศจรรย์ว่า เส้นพระเกศาซึ่งเหลือประมาณ ๒ องคุลีนั้น
ได้เวียนขวาแนบติดพระเศียร และเป็นเช่นนั้นจนตลอดพระชนม์ชีพ
พระโพธิสัตว์ได้จับพระเกศโมลี
ตั้งจิตอธิษฐานว่า
“ถ้าเราจักได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วไซร้ ขอพระโมลีจงตั้งอยู่ในอากาศ ถ้าจักไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า ขอจงตกลงบนพื้น”
พระองค์ทรงโยนขึ้นไปในอากาศ พระเกศโมลีลอยอยู่ในอากาศสมดังที่ทรงอธิษฐานไว้
ท้าวสักกเทวราชทรงเห็นด้วยทิพยจักษุ จึงเอาผอบแก้วรับไว้
แล้วนำไปประดิษฐานไว้ในพระเจดีย์ชื่อว่าจุฬามณี ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ตำนานการลอยกระทง บูชาวันพระพุทธเจ้าเปิดโลก
ในพรรษาที่ ๗ นับจากปีที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้
พระพุทธองค์ได้เสด็จขึ้นไปจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
เพื่อเทศนาพระอภิธรรมปิฎกโปรดพระพุทธมารดาและเหล่าเทวดาอยู่หนึ่งพรรษา
เมื่อถึงวันออกพรรษา เหล่าเทวดาได้เข้าถึงธรรมกันถึง ๘๐,๐๐๐ โกฏิ
สิริมหามายาเทพบุตรได้บรรลุโสดาบัน
ครั้งนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จลงจากดาวดึงส์
มหาชนต่างมารอคอยพระองค์อยู่ที่เมืองสังกัสสะนคร
แล้วเกิดสิ่งอัศจรรย์ขึ้น คือ
ท่านเปิดโลกทั้งสาม
สวรรค์ มนุษย์ นรก ให้เห็นถึงกันในเวลาเดียวกัน
ทั้งเทวดา มนุษย์ สัตว์นรก สัตว์เดียรัจฉาน เปรต อสุรกาย
ต่างเห็นกันและกันด้วยตาเนื้อ เป็นอัศจรรย์ด้วยพุทธานุภาพ
ผู้ที่เห็นความอัศจรรย์นั้นต่างเกิดมหาปีติ
พากันตั้งความปรารถนาที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า
เพราะเห็นพุทธานุภาพนั้น บางคัมภีร์ถึงกับกล่าวว่า
แม้แต่มดซึ่งเป็นสัตว์เดียรัจฉานยังมีความรู้สึกนึกคิดที่จะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าด้วย
วันนั้นจึงเรียกว่า “วันพระพุทธเจ้าเปิดโลก” ในขณะที่มหาชนกำลังเกิดมหาปีติอยู่นั้น
พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดสรรพสัตว์ที่มาถวายการต้อนรับพระองค์ในครั้งนั้น
ทั้งมนุษย์ และเทวาได้เข้าถึงพระธรรมกายถึง ๓๐ โกฏิ
แม้พญานาค ณ ลำน้ำโขง ก็ได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ครั้งนั้น
และได้เปล่งวาจาตั้งความปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตด้วย
เมื่อถึงทุกๆวันเข้าพรรษา พญานาคก็จะออกจากนาคพิภพ มาจำศีลภาวนาใต้ลำน้ำโขง
พอถึงวันออกพรรษา ด้วยจิตที่เลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จึงบูชาพระพุทธองค์ด้วยประทีป ที่กลั่นจากใจใสๆ จากการประพฤติพรหมจรรย์มาตลอด ๑ พรรษา
และได้อธิษฐานว่า ด้วยอานิสงส์นี้ ขอให้ข้าพระองค์ได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต
นี่คือที่มาของเรื่องราวการพ่นบั้งไฟพญานาค นับพันปี ณ แม่น้ำโขง ในทุกวันออกพรรษา
พญานาคเป็นประจักพยานหนึ่งเดียว ที่ยืนยันถึงการคงอยู่ของพระบรมศาสดา และรับรองเรื่องราวในพระไตรปิฎกว่าเป็นความจริง เป็นผู้ที่บันทึกประวัติศาสตร์เรื่องราวความมหัศจรรย์วันพระพุทธเจ้าเปิดโลก
อีกทั้งยังเป็นที่มาของประเพณีลอยกระทงไหลเรือไฟริมสองฝั่งโขงเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาอีกด้วย
ลอยกระทง บูชาพระรัตนตรัยด้วยดวงประทีป
พระบรมศาสดาตรัสว่า
“ผู้ให้ดวงประทีปโคมไฟ ชื่อว่า ให้จักษุ”
คนเราแม้ตาดีแต่ถ้าอยู่ในที่มืดก็ไม่เห็นอะไร
ต่อเมื่อมีประทีปส่องสว่างขึ้นจึงสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้ชัดเจน
ดังนั้น การจุดประทีปเป็นพุทธบูชา จึงนับเป็นการบูชาด้วยดวงตาทีเดียว
หลวงพ่อคุณครูไม่ใหญ่เคยสรรเสริญไว้ว่า
“การที่หลายๆ ท่านได้ปรารภเหตุวันเพ็ญเดือนสิบสอง
ลอยกระทงหรือโคมไฟลอยฟ้าเพื่อบูชาพระรัตนตรัย นับว่าเป็นผู้ฉลาดในการสั่งสมบุญกุศลให้กับตัวเอง”
หลวงพ่อคุณครูไม่ใหญ่เคยแนะนำหลักวิชชาของการลอยกระทงไว้ว่า
“การที่บ้านเรามีประเพณีลอยกระทง ในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง
ก็เป็นสัญญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ ที่เราจะได้ลอยบาปออกจากใจ
สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายเรานึกให้ละลายไปในแม่น้ำ และเริ่มต้นชีวิตใหม่ในสิ่งที่ดีงามที่บริสุทธิ์
ในฐานะที่เราเป็นพุทธศาสนิกชน…
ควรปรารภเหตุนี้ด้วยการชำระกายวาจาใจให้สะอาดบริสุทธิ์
โดยนึกถึงพระรัตนตรัย ทำใจให้หยุดนิ่ง จุดประทีปในกระทงบูชาพระรัตนตรัย
ไม่ใช่ลอยกระทงเพื่อความสนุกสนานกันเฉยๆ
อย่างนั้นไม่ได้ประโยชน์อะไร
เวลาลอยกระทงอาจจะนึกว่า เราได้ถวายเครื่องสักการบูชา
เพื่อบูชาเจดีย์ คือ รอยพระบาทที่ลุ่มน้ำนัมมทานั้นก็ได้
ลอยไปก็นึกอธิษฐานให้กิเลสอาสวะหลุดลอยไปจากใจของเราด้วย
อย่างนี้เรียกว่าทำถูกหลักวิชชา
ได้ทั้งบุญได้ทั้งความบันเทิงใจ
และได้อานิสงส์ใหญ่ ที่บูชาพระรัตนตรัยด้วยจิตอันเลื่อมใส
ต้องทำให้ถูกหลักอย่างนี้กันทุกคน”
ชาวพุทธบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยดวงประทีป
ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ เหล่าพญานาครำลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ออกมาพ่นบั้งไฟเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา เมื่อถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ หนึ่งเดือนหลังออกพรรษา เหล่าชาวพุทธ จัดพิธีลอยกระทง จุดโคมลอย บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเช่นกัน
วันลอยกระทง..คือวันสุดท้ายของการทอดกฐินตามพุทธานุญาต
เป็นวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒
หลายๆวัดจึงถือโอกาสทอดกฐิน และจัดปฏิบัติธรรมในวันนี้
ดังเช่นปีนี้พุทธอุทยานนานาชาติ ปทุมรัตนเจดีย์ จังหวัดหนองคาย
ช่วงเช้าได้จัดให้มีทอดกฐิน
ช่วงบ่าย จัดประกวดฟ้อนรำวัฒนธรรมอีสาน
ช่วงค่ำ จุดโคมลาน ลอยโคมฟ้า ลอยกระทงลำน้ำโขง ณ ลานธรรมปทุมรัตนเจดีย์ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา

วันลอยกระทง จึงไม่ใช่เป็นเพียงงานรื่นเริง หรือประเพณีทั่วไป
แต่เป็นวันที่ชาวพุทธร่วมแรงร่วมใจกัน จัดกิจกรรมหล่อหลอม ผูกใจไว้กับพระพุทธศาสนา
เป็นวันที่บ้าน วัด โรงเรียนได้ทำกิจกรรมดีๆ ร่วมกัน
การฟ้อนรำเป็นหมู่คณะ ด้วยเสียงเพลงที่เกี่ยวเนื่องกับการบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความพร้องเพรียง ก่อให้เกิดภาพที่งดงาม ลอยกระทงจากธรรมชาติ มีประทีปจากแสงเทียนน้อยๆ ทำให้รู้คุณค่าของธรรมชาติ แม่น้ำ ลำธาร จุดโคมลาน ลอยโคมฟ้า บนลานธรรมปทุมรัตนเจดีย์ เป็นการจุดประทีปถวายเป็นพุทธบูชา ก่อให้เกิดภาพที่ตระการตาทั่วท้องฟ้า ภาพอันงดงามของกิจกรรมชาวพุทธและภาพการแสดงศิลปะวัฒนธรรมไทยจะถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก เช่น ประเพณีท้องถิ่นงานลอยโคมของชาวเมียนม่าร์ งานจุดโคมชาวอินเดีย งานลอยโคมในประเทศจีน งานวันลอยกระทง ลอยโคม จึงเป็นวันหนึ่งที่ชาวพุทธในแต่ละประเทศนำหลักการนี้ไปใช้ทำกิจกรรมในชุมชนเป็นประเพณีประจำท้องถิ่น ซึ่งทำให้ได้หล่อหลอมตนเอง ผูกใจยึดเหนี่ยวไว้กับพระพุทธศาสนา และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ประเพณียี่งเป็งเชียงใหม่ เป็นประเพณีเก่าแก่ของล้านนามานาน
บันทึกในพงศาวดารโยนก ได้กล่าวไว้ถึงเหตุการณ์การสร้างเมืองเชียงใหม่
กล่าวได้ว่า ตั้งแต่สมัยพญาเม็งราย ซึ่งช่วงที่สร้างเมืองเชียงใหม่นั้นได้เชิญพระสหายมาช่วยสร้าง “นครพิงค์เชียงใหม่” พระสหายคือ พ่อขุนรามคำแหงแห่งราชวงศ์พระร่วง จากสุโขทัย และ พญางำเมือง แห่งเมืองหริภุญชัย พ่อขุนรามคำแหง ซึ่งเป็นผู้ที่นำหลักธรรมของพระพุทธศาสนา มาใช้ในการบริหารบ้านเมืองในยุคนั้น
ทำให้ชาวเชียงใหม่เชื่อว่า “นครพิงค์ในขณะนั้นรับช่วงประเพณีลอยกระทงมาจากสมัยสุโขทัย”
ซึ่งประเพณีการเผาเทียนเล่นไฟ ของชาวสุโขทัย เป็นงานรื่นเริง สนุกสนาน ก็อาจจะถ่ายทอดมาสู่ชาวล้านนาด้วย ดังนั้นลอยกระทงด้วยการจุดประทีป ก็สามารถนำมาปรับและดัดแปลงมาเป็นประเพณียี่เป็งที่เป็นเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่น การจุดโคมลอยยี่เป็งนั้น วัตถุประสงค์ เพื่อเป็นพุทธบูชา

ก่อนจัดงานได้มีการจัดการและบริหารการจัดการ ทำให้เกิดความสวยงามตระการตา สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และ ชาวต่างประเทศเป็นอย่างมาก
นับว่าเป็นการสร้างเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่น
และวัฒนธรรมอันดีงามให้แก่ประเทศ
เป็นมรดกล้ำค่าซึ่งเป็นความภูมิใจของชาวล้านนา
จนทำให้ประเทศไทยมีชื่อเสียงทางการท่องเที่ยว
สำนักงานท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจึงได้ร่วมกับเทศบาลนครเชียงใหม่จัดการส่งเสริมประเพณีลอยกระทงจังหวัดเชียงใหม่ ให้เป็นเทศกาลท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัด
ในแต่ละปีจึงมีนักท่องเที่ยวทั้งจากชาวไทยและชาวต่างประเทศ
แห่แหนกันมาเที่ยวชมงานลอยกระทงจังหวัดเชียงใหม่กันเป็นจำนวนมากทุกๆ ปี
ก่อนจัดงานได้มีการจัดการและบริหารการจัดการ โดยทางทีมงานก็ได้จัดเตรียมอาสาสมัครกว่าเกือบร้อยสองชีวิตในการเก็บโคมเมื่อเสร็จงานแล้ว ส่วนขั้นตอนการจัดงานนั้น อีกทั้งอุปกรณ์ในการจุดโคม ซึ่งสามารถอ่านรายละเอียดการจัดงานได้ที่สำนักข่าวการท่องเที่ยว และส่วนงานที่เกี่ยวข้องสื่อสารองค์กร
พระครูสมุห์สนิทวงศ์ วุฑฺฒิวํโส ได้ชี้แจงขั้นตอนในการจัดงาน และอุปกรณ์ที่นำมาใช้ลอยโคม
ทั้งก่อนทำ ขณะทำงาน และหลังงาน ก็ได้มีการจัดการและวางแผน เตรียมความพร้อม
สร้างความประทับใจ และยังมีความปลอดภัย สุดท้ายได้ดำเนินในการจัดเก็บโคมหลังเลิกงาน
เพื่อชี้แจงข้อมูลความจริงให้ประชาชนทราบ อ่านรายละเอียดได้ที่ลิงค์ ที่นี่

นับว่าประเพณีลอยกระทงยี่เป็งจังหวัดเชียงใหม่ เป็นเทศกาลที่สำคัญต่อคนชาวเชียงใหม่ และประเพณีจุดโคม ลอยโคม ในสถานที่ต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศนั้น วัตถุประสงค์หลัก ๆ คือ สร้างสันติสุขให้กับชาวโลก โดยมีสื่อคือ ประทีป เป็นเสมือนที่รวมใจทุกคน ทุกเชื้อชาติ ทุกภาษา หล่อหลอมใจทุกคนเป็นหนึ่ง ก่อให้เกิดความรักสมัครสมานสามัคคี นับว่าหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า นำมาปรับใช้ทำกิจกรรมร่วมกับกิจกรรมในท้องถิ่นนั้น ๆ กลายเป็นเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่นที่มีคุณค่า และมีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ต่อชุมชน และสังคม ต่อประเทศ เห็นได้จากตัวอย่างประเพณียี่เป็ง มีนักท่องเที่ยวมาร่วมงานแต่ละปีมากมาย นับว่าเป็นการรักษามรดกวัฒนธรรมและประเพณีที่ดีงานของชาวพุทธล้านนา เราชาวพุทธควรทำหน้าที่บำรุงพระพุทธศาสนา และสนับสนุนส่งเสริมกิจกรรมการทำงานของชาวพุทธ เพื่อเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมการศึกษาของชาวพุทธ สืบทอดประเพณีท้องถิ่นนั้น ๆ ตามบรรพบุรุษของไทยที่มีมาแต่โบราณดั้งเดิม ไว้ให้อนุชนรุ่นหลังนำไปปฏิบัติ พระพุทธศาสนาก็จะเจริญ รุ่งเรือง สืบต่อไป
ที่มาภาพและเนื้อหา
- ศิลาจารึกสุโขไทหลักที่ ๑
- พงศาวดารโยนก
- นางนพมาศ
- สุภาษิตพระร่วง สุภาษิตสอนจิต และประเพณีประจำชีวิต
- พระราชพิธีสิบสองเดือน เดือน๑๒ พระราชพิธีจองเปรียง พิธีลอยพระประทีป
- ธรรมะเพื่อประชาชน รอยพระบาทริมฝั่งนัมมทานที
- ธรรมะเพื่อประชาชน พระเจดีย์จุฬามณี
- ธรรมะเพื่อประชาชน มหัศจรรย์วันออกพรรษา
- บทความวันลอยกระทง เว็บท่ากรมศิลปากร
- เปิดปูม ‘ลอยกระทง’ ตามวิถีแห่งวัฒนธรรม
- บั้งไฟพญานาค ตำนาน ความเชื่อ หรือความจริง!!!
- ประเพณียี่เป็ง เชียงใหม่ ๒๕๖๒
- ภาพเพจการบ้าน และภาพดีๆ ๐๗๒ เพจพระครูสมุหสนิทวงศ์ วุฑฺฒิวํโส ภาพจากเพจDMC และกัลยาณมิตร