ทุพภิกขภัยในอดีต
ในอดีตกาล โลกประสบฉาตกภัย** เกิดความหิวโหยอดอยากครั้งยิ่งใหญ่
มีเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง
ด้วยความที่ฉาตกภัยครั้งนี้ยาวนานมาก
ทำให้เสบียงที่เก็บสะสมไว้ ถูกใช้รับประทานจนหมด
จนในที่สุดเหลือข้าวเพียง ๑ ทะนาน

เพียงพอให้ครอบครัวของเศรษฐีรวม ๕ ชีวิต หุงเป็นข้าวสวยรับประทานได้เพียงมื้อสุดท้ายเท่านั้น
ในขณะนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งที่ภูเขาคันธมาทน์ ออกจากสมาบัติ
ซึ่งตามธรรมดาของพระปัจเจกพุทธเจ้าที่เข้านิโรธสมาบัตินานถึง ๗ วัน
ระหว่างนั้นท่านไม่ต้องฉันภัตตาหารเลย ด้วยอำนาจของมหาสมาบัติ
แต่เมื่อออกจากนิโรธสมาบัติก็มีความหิวกระหายมากเหมือนกับมนุษย์ทั่วไป
หากไม่ได้ฉันในวันนั้น ก็ต้องดับขันธ์เข้าสู่นิพพาน เพราะขันธ์ ๕ ไม่สามารถทนอยู่ได้อีกต่อไป
หากชนเหล่าใดถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าในวันนั้นย่อมได้อานิสงส์ใหญ่
ทรงสอดส่องข่ายพระณาณ เห็นว่าโลกกำลังเกิดทุพภิกขภัยอย่างหนัก
มีเพียงครอบครัวเศรษฐีผู้ใจบุญนี้ ที่ยังมีข้าวมื้อสุดท้าย
ที่จะเกิดศรัทธาเป็นเจ้าของบุญ
เมื่อเศรษฐีเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าบิณฑบาตมายังเรือนของตน
ก็มีจิตเลื่อมใส สอนตัวเองว่า
“เราประสบฉาตกภัยถึงปานนี้เพราะความที่เราไม่ให้ทานในกาลก่อน
อาหารนี้รักษาชีวิตเราไว้ได้วันเดียวเท่านั้น
ส่วนอาหารที่เราถวายแล้วแก่พระผู้เป็นเจ้า จักนำประโยชน์เกื้อกูลมาแก่เราหลายโกฏิกัป”
“เราอย่าได้เห็นแก่ประโยชน์ตนเฉพาะแต่เพียงในชาตินี้เลย”
เศรษฐีและครอบครัวจึงถวายอาหารมื้อสุดท้ายทั้งหมดที่เป็นดั่งชีวิตลงในบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้า
เศรษฐีได้ตั้งความปรารถนาอย่างแรงกล้าด้วยใจที่เลื่อมใส
“ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าอย่าได้ประสบฉาตกภัยเห็นปานนี้ ในที่ๆ ข้าพเจ้าเกิดอีกเลย ตั้งแต่บัดนี้ไป
ข้าพเจ้าพึงสามารถเพื่อจะให้ภัตแก่ชาวชมพูทวีปได้ทั้งหมด
ข้าพเจ้าไม่พึงงานเลี้ยงชีพด้วยมือของตนเอง
ในขณะที่ข้าพเจ้าใช้ให้คนชำระฉาง ๑,๒๕๐ ฉาง และชำระร่างกายให้สะอาดแล้ว นั่งอยู่ที่ประตูฉางเหล่านั้น มองดูในเบื้องบนเท่านั้น ธารแห่งข้าวสาลีแดง พึงตกลงมาในฉางทั้งหมดให้เต็ม
และผู้นี้จงเป็นภรรยา ผู้นี้จงเป็นบุตร ผู้นี้จงเป็นหญิงสะใภ้ และผู้นี้จงเป็นทาสของข้าพเจ้า ในสถานที่ๆ ข้าพเจ้าเกิดแล้วเถิด”
แม้ภรรยา บุตร บุตรสะใภ้ ทาสของเศรษฐีก็ตั้งความปรารถนาในลักษณะเดียวกัน
พระปัจเจกพุทธเจ้าจึงกระทำอนุโมทนาในการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวของทุกๆ คนที่รักบุญยิ่งกว่าชีวิต
แล้วท่านจึงเหาะขึ้นไปสู่ท้องฟ้า
โดยบันดาลให้ทุกคนได้เห็นท่านเหาะกลับไปภูเขาคันธมาทน์
และทับทวีภัตตาหารจัดแบ่งภัตให้กับพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์
เศรษฐีและทุกคนในครอบครัวได้เห็นเหตุอัศจรรย์เช่นนั้น ยิ่งปีติดีใจว่า ตนเองได้ถวายทานถูกเนื้อนาบุญแล้ว
ด้วยผลบุญอัศจรรย์
ในเย็นวันนั้นเอง
หม้อข้าวที่ว่างเปล่า กลับเปลี่ยมล้นไปด้วยข้าวสวยที่ตักเท่าไหร่ไม่รู้จักพร่อง
ยุ้งฉางซึ่งว่างเปล่า ก็เต็มไปด้วยข้าวเปลือกและพืชพันธุ์ธัญญาหารเหมือนเดิม
ฝนฟ้าก็ตกลงมาให้ความชุ่มฉ่ำเย็นแก่คนทั้งเมือง
ชาวเมืองเมื่อทราบข่าวก็ได้หลั่งไหลมารับเอาอาหารและพันธุ์พืชจากบ้านของท่านเศรษฐี
ชาวชมพูทวีปทั้งหมดอาศัยบุญของท่านเศรษฐี จึงดำรงชีพอยู่อย่างมีความสุขจนตลอดชีวิต
แม้ในยุคพุทธกาล ท่านได้เกิดเป็นเมณฑกเศรษฐี
ผลบุญก็ยังตามส่งผลให้เกิดสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง
เกิดแพะทองคำกายสิทธิ์

สามารถแจกจ่ายทาน อาหาร เงินกหาปณะ เลี้ยงคนได้ทั้งเมือง
ผลบุญเกิดจาก ทำด้วยชีวิต ปลื้ม ถูกเนื้อนาบุญ
หลวงพ่อคุณครูไม่ใหญ่ให้ข้อคิดว่า
“ท่านเมณฑกเศรษฐีและครอบครัว ได้ตัดใจถวายข้าวมื้อสุดท้ายของตัวเองแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า
ท่านตัดใจเหมือนตายจากคือ เมื่อให้แล้วไม่รู้สึกเสียดายเลย
สมดังพุทธพจน์ว่า
“ทายกก่อนให้ทานเป็นผู้ดีใจ กำลังให้ทานอยู่ย่อมยังจิตให้เลื่อมใส ครั้นให้ทานแล้วย่อมปลื้มใจ”
ส่วนปฏิคาหกที่มารับทานของท่านคือ พระปัจเจกพุทธเจ้า
ซึ่งเป็นผู้ที่บริสุทธิ์มาก ท่านเป็นผู้ปราศจากราคะ โทสะ โมหะ
โดยเฉพาะท่านเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ
บุญที่บังเกิดขึ้นจึงเป็นอสงไขยอัปปมาณัง
เป็นห้วงแห่งบุญกุศลที่จะนับจะประมาณไม่ได้
เป็นบุญใหญ่มากๆ เหมือนเราไม่สามารถจะคำนวณปริมาณของน้ำในมหาสมุทร เพราะเป็นห้วงน้ำที่กว้างใหญ่ไพศาล เกินวิสัยของมนุษย์ทั่วไปจะคำนวณนับได้”
“ยอดนักสร้างบารมีทั้งหลายในกาลก่อน ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตได้
ก็เพราะเขาชิงช่วงการสร้างบารมีในยุคทุพภิกขภัย ยุคข้าวยากหมากแพง หรือช่วงที่เกิดกลียุคต่าง ๆ
เพราะกระแสบุญจะส่งผลแรงในช่วงนั้น
เนื่องจากเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก
ดังนั้นผู้ที่ทำได้จึงต้องมีกำลังใจอันสูงยิ่ง
แต่เมื่อสามารถทำได้แล้วก็จะเกิดมหาปีติ
ส่งผลให้กระแสธารแห่งบุญที่สอดละเอียดซ้อนลงมาในกลางกายมีกำลังแรงมากกว่าปกติ
จนสามารถพลิกผันชีวิตของเขาให้ประสบความสำเร็จยิ่งกว่าใคร ๆ ทั้งหมด”
นี่คือสูตรสำเร็จนักสร้างบารมี ที่หลวงพ่อคุณครูไม่ใหญ่ได้ถ่ายทอดให้ลูกๆทุกๆคน

เหตุแห่งทุพภิกขภัย
เหตุภัยพิบัติทั้งหลายเกิดขึ้นมา หลวงพ่อคุณครูไม่ใหญ่บอกว่า
“ก็เพราะว่า บาปนั่นแหละจ้ะ บันดาลให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น
มนุษย์นี่ ไม่ค่อยได้อยู่ในศีล ในธรรม คือ อยู่ข้างนอก หรืออยู่ข้างๆ ศีลธรรม หรือมีศีลธรรม แต่ไม่ค่อยเอามาใช้
เพราะฉะนั้น ก็ไม่อาจที่จะดึงธาตุที่บริสุทธิ์ที่อยู่รอบตัวมาใช้ได้
ธาตุที่ไม่บริสุทธิ์ก็ไปอยู่ในใจ/ตัว
เมื่อคิดพูดทำในสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ กระแสแห่งความไม่บริสุทธิ์ก็จะมารวมกัน
ทำให้เกิดภัยพิบัติ อะไรต่างๆ
แต่ว่าผู้ที่สั่งสมบุญ จะรอดปลอดภัย และมีชัยชนะ
เพราะฉะนั้น เราก็ต้องอยู่ในบุญ กันเยอะๆ”
ภัยพิบัติในยุคนี้
ยามนี้โลกกำลังเผชิญกับพิบัติภัย เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ระบาด มีผู้คนล้มตายหลายแสนคน
คนตกงาน เศรษฐกิจตกต่ำอย่างหนัก พืชผลการเกษตรถูกทำลายจากศัตรูพืชและดินฟ้าอากาศที่แปรปรวนจนอาจทำให้โลกเกิดความขาดแคลนอาหารอย่างหนัก
หลายคนไม่มีรายได้ อยู่ได้ด้วยเงินเก็บหอมรอมริบ
เงิน เป็นความมั่นคงของชีวิต
ไม่มีเงิน ก็จะดำรงชีวิตด้วยความยากลำบาก
ต่างต้องอยู่อย่างประหยัดมัธยัสถ์
ต่างก็มีภาระค่าใช้จ่าย
มีครอบครัวให้ดูแล
แต่ก็ยังนำปัจจัยมาบริจาคช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์
ยังนำสิ่งของที่ตนมีมาแบ่งปันผู้อื่น
ยังใส่บาตรพระทุกเช้า ยังคงไปถวายภัตตาหารที่วัด ให้พระมีแรงประพฤติปฏิบัติธรรม ทำกิจของสงฆ์ เป็นอายุพระศาสนา
ยังถวายปัจจัยทำบุญบำรุงวัด เพื่อรักษาฐานที่มั่นในการเผยแผ่ธรรม
บางท่านถือโอกาสชิงช่วงเวลาที่อยู่บ้าน มาเป็นเวลาแห่งการปฏิบัติธรรม
ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา
บางท่านมาวัด สวดธรรมจักร เวียนประทักษิณหน้าพระมหาธรรมกายเจดีย์
มาสาธยายแม่บทแห่งธรรม ณ แหล่งแห่งเนื้อนาบุญของโลก
ทั้งหมดนี้คือการพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสของนักสร้างบารมี
ชิงช่วงการสร้างบารมีในยุคทุพภิกขภัย เฉกเช่นเดียวกับยอดนักสร้างบารมีทั้งหลายในกาลก่อน
และด้วยบุญนี้ จะทำให้ทุกคนรอดปลอดภัย และมีชัยชนะผ่านพ้นวิกฤตการไปได้อย่างแน่นอน
ที่มาภาพและเนื้อหา
- ธรรมะเพื่อประชาชน เมณฑกเศรษฐีผู้ใจบุญ (๓)
- ธรรมะเพื่อประชาชน เมณฑกเศรษฐีผู้ใจบุญ (๔)
- ฉาตกภัย [/ฉาตะกะไพ/] อธิบายความหมายเพิ่ม คือ ภัยที่เกิดจากความแห้งแล้ง, ภัยที่เกิดจากภาวะข้าวยากหมากแพง.
- ภาพจากเพจการบ้าน และ เว็บกัลยาณมิตร และ เว็บภาพฟรีของ Pixabay