สมบัติตักไม่พร่อง : การสร้างบุญ ในสถานการณ์โควิด ๑๙

แชร์ให้เพื่อนเลย

ทุพภิกขภัยในอดีต

ในอดีตกาล โลกประสบฉาตกภัย** เกิดความหิวโหยอดอยากครั้งยิ่งใหญ่

มีเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง

ด้วยความที่ฉาตกภัยครั้งนี้ยาวนานมาก

ทำให้เสบียงที่เก็บสะสมไว้ ถูกใช้รับประทานจนหมด

จนในที่สุดเหลือข้าวเพียง ๑ ทะนาน

ภาพประกอบบทความ : ภาพทุ่งนาข้าว  

เพียงพอให้ครอบครัวของเศรษฐีรวม ๕ ชีวิต หุงเป็นข้าวสวยรับประทานได้เพียงมื้อสุดท้ายเท่านั้น

ในขณะนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งที่ภูเขาคันธมาทน์ ออกจากสมาบัติ

ซึ่งตามธรรมดาของพระปัจเจกพุทธเจ้าที่เข้านิโรธสมาบัตินานถึง ๗ วัน

ระหว่างนั้นท่านไม่ต้องฉันภัตตาหารเลย ด้วยอำนาจของมหาสมาบัติ

แต่เมื่อออกจากนิโรธสมาบัติก็มีความหิวกระหายมากเหมือนกับมนุษย์ทั่วไป

หากไม่ได้ฉันในวันนั้น ก็ต้องดับขันธ์เข้าสู่นิพพาน เพราะขันธ์ ๕ ไม่สามารถทนอยู่ได้อีกต่อไป

หากชนเหล่าใดถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าในวันนั้นย่อมได้อานิสงส์ใหญ่

ทรงสอดส่องข่ายพระณาณ เห็นว่าโลกกำลังเกิดทุพภิกขภัยอย่างหนัก

มีเพียงครอบครัวเศรษฐีผู้ใจบุญนี้ ที่ยังมีข้าวมื้อสุดท้าย

ที่จะเกิดศรัทธาเป็นเจ้าของบุญ

เมื่อเศรษฐีเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าบิณฑบาตมายังเรือนของตน

ก็มีจิตเลื่อมใส สอนตัวเองว่า

“เราประสบฉาตกภัยถึงปานนี้เพราะความที่เราไม่ให้ทานในกาลก่อน

อาหารนี้รักษาชีวิตเราไว้ได้วันเดียวเท่านั้น

ส่วนอาหารที่เราถวายแล้วแก่พระผู้เป็นเจ้า จักนำประโยชน์เกื้อกูลมาแก่เราหลายโกฏิกัป”

“เราอย่าได้เห็นแก่ประโยชน์ตนเฉพาะแต่เพียงในชาตินี้เลย”

เศรษฐีและครอบครัวจึงถวายอาหารมื้อสุดท้ายทั้งหมดที่เป็นดั่งชีวิตลงในบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้า

เศรษฐีได้ตั้งความปรารถนาอย่างแรงกล้าด้วยใจที่เลื่อมใส

“ข้าแต่ท่านผู้เจริญ  ข้าพเจ้าอย่าได้ประสบฉาตกภัยเห็นปานนี้ ในที่ๆ ข้าพเจ้าเกิดอีกเลย ตั้งแต่บัดนี้ไป

ข้าพเจ้าพึงสามารถเพื่อจะให้ภัตแก่ชาวชมพูทวีปได้ทั้งหมด

ข้าพเจ้าไม่พึงงานเลี้ยงชีพด้วยมือของตนเอง

ในขณะที่ข้าพเจ้าใช้ให้คนชำระฉาง ๑,๒๕๐ ฉาง และชำระร่างกายให้สะอาดแล้ว นั่งอยู่ที่ประตูฉางเหล่านั้น มองดูในเบื้องบนเท่านั้น ธารแห่งข้าวสาลีแดง พึงตกลงมาในฉางทั้งหมดให้เต็ม

และผู้นี้จงเป็นภรรยา ผู้นี้จงเป็นบุตร ผู้นี้จงเป็นหญิงสะใภ้ และผู้นี้จงเป็นทาสของข้าพเจ้า ในสถานที่ๆ ข้าพเจ้าเกิดแล้วเถิด”

แม้ภรรยา บุตร บุตรสะใภ้ ทาสของเศรษฐีก็ตั้งความปรารถนาในลักษณะเดียวกัน

พระปัจเจกพุทธเจ้าจึงกระทำอนุโมทนาในการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวของทุกๆ คนที่รักบุญยิ่งกว่าชีวิต

แล้วท่านจึงเหาะขึ้นไปสู่ท้องฟ้า

โดยบันดาลให้ทุกคนได้เห็นท่านเหาะกลับไปภูเขาคันธมาทน์

และทับทวีภัตตาหารจัดแบ่งภัตให้กับพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์

เศรษฐีและทุกคนในครอบครัวได้เห็นเหตุอัศจรรย์เช่นนั้น ยิ่งปีติดีใจว่า ตนเองได้ถวายทานถูกเนื้อนาบุญแล้ว

ด้วยผลบุญอัศจรรย์

ในเย็นวันนั้นเอง

หม้อข้าวที่ว่างเปล่า กลับเปลี่ยมล้นไปด้วยข้าวสวยที่ตักเท่าไหร่ไม่รู้จักพร่อง

ยุ้งฉางซึ่งว่างเปล่า ก็เต็มไปด้วยข้าวเปลือกและพืชพันธุ์ธัญญาหารเหมือนเดิม

ฝนฟ้าก็ตกลงมาให้ความชุ่มฉ่ำเย็นแก่คนทั้งเมือง

ชาวเมืองเมื่อทราบข่าวก็ได้หลั่งไหลมารับเอาอาหารและพันธุ์พืชจากบ้านของท่านเศรษฐี

ชาวชมพูทวีปทั้งหมดอาศัยบุญของท่านเศรษฐี จึงดำรงชีพอยู่อย่างมีความสุขจนตลอดชีวิต

แม้ในยุคพุทธกาล ท่านได้เกิดเป็นเมณฑกเศรษฐี

ผลบุญก็ยังตามส่งผลให้เกิดสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง

เกิดแพะทองคำกายสิทธิ์

เมณฑกเศรษฐี
ภาพวาดประกอบเรื่องเมณฑกเศรษฐี ผู้มีสมบัติเป็นแพะทองคำในยุคพทธกาล

สามารถแจกจ่ายทาน อาหาร เงินกหาปณะ เลี้ยงคนได้ทั้งเมือง

ผลบุญเกิดจาก ทำด้วยชีวิต ปลื้ม ถูกเนื้อนาบุญ

หลวงพ่อคุณครูไม่ใหญ่ให้ข้อคิดว่า

“ท่านเมณฑกเศรษฐีและครอบครัว ได้ตัดใจถวายข้าวมื้อสุดท้ายของตัวเองแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า

ท่านตัดใจเหมือนตายจากคือ เมื่อให้แล้วไม่รู้สึกเสียดายเลย

สมดังพุทธพจน์ว่า

“ทายกก่อนให้ทานเป็นผู้ดีใจ กำลังให้ทานอยู่ย่อมยังจิตให้เลื่อมใส ครั้นให้ทานแล้วย่อมปลื้มใจ”

ส่วนปฏิคาหกที่มารับทานของท่านคือ พระปัจเจกพุทธเจ้า

ซึ่งเป็นผู้ที่บริสุทธิ์มาก ท่านเป็นผู้ปราศจากราคะ โทสะ โมหะ

โดยเฉพาะท่านเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ

บุญที่บังเกิดขึ้นจึงเป็นอสงไขยอัปปมาณัง

เป็นห้วงแห่งบุญกุศลที่จะนับจะประมาณไม่ได้

เป็นบุญใหญ่มากๆ เหมือนเราไม่สามารถจะคำนวณปริมาณของน้ำในมหาสมุทร เพราะเป็นห้วงน้ำที่กว้างใหญ่ไพศาล เกินวิสัยของมนุษย์ทั่วไปจะคำนวณนับได้”

“ยอดนักสร้างบารมีทั้งหลายในกาลก่อน  ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตได้  

ก็เพราะเขาชิงช่วงการสร้างบารมีในยุคทุพภิกขภัย  ยุคข้าวยากหมากแพง  หรือช่วงที่เกิดกลียุคต่าง ๆ 

เพราะกระแสบุญจะส่งผลแรงในช่วงนั้น  

เนื่องจากเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก  

ดังนั้นผู้ที่ทำได้จึงต้องมีกำลังใจอันสูงยิ่ง  

แต่เมื่อสามารถทำได้แล้วก็จะเกิดมหาปีติ  

ส่งผลให้กระแสธารแห่งบุญที่สอดละเอียดซ้อนลงมาในกลางกายมีกำลังแรงมากกว่าปกติ    

จนสามารถพลิกผันชีวิตของเขาให้ประสบความสำเร็จยิ่งกว่าใคร ๆ ทั้งหมด”

นี่คือสูตรสำเร็จนักสร้างบารมี ที่หลวงพ่อคุณครูไม่ใหญ่ได้ถ่ายทอดให้ลูกๆทุกๆคน

วัดพระธรรมกายน้อมถวายแอลกอฮอล์ หน้ากากอนามัย Face Shield แด่พระเดชพระคุณพระธรรมรัตนาภรณ์และคณะสงฆ์ วัดเขียนเขต

เหตุแห่งทุพภิกขภัย

เหตุภัยพิบัติทั้งหลายเกิดขึ้นมา หลวงพ่อคุณครูไม่ใหญ่บอกว่า

“ก็เพราะว่า บาปนั่นแหละจ้ะ บันดาลให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น

มนุษย์นี่ ไม่ค่อยได้อยู่ในศีล ในธรรม คือ อยู่ข้างนอก หรืออยู่ข้างๆ ศีลธรรม หรือมีศีลธรรม แต่ไม่ค่อยเอามาใช้

เพราะฉะนั้น ก็ไม่อาจที่จะดึงธาตุที่บริสุทธิ์ที่อยู่รอบตัวมาใช้ได้

ธาตุที่ไม่บริสุทธิ์ก็ไปอยู่ในใจ/ตัว

เมื่อคิดพูดทำในสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ กระแสแห่งความไม่บริสุทธิ์ก็จะมารวมกัน

ทำให้เกิดภัยพิบัติ อะไรต่างๆ

แต่ว่าผู้ที่สั่งสมบุญ จะรอดปลอดภัย และมีชัยชนะ

เพราะฉะนั้น เราก็ต้องอยู่ในบุญ กันเยอะๆ”

ภัยพิบัติในยุคนี้

ยามนี้โลกกำลังเผชิญกับพิบัติภัย เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ระบาด มีผู้คนล้มตายหลายแสนคน

คนตกงาน เศรษฐกิจตกต่ำอย่างหนัก พืชผลการเกษตรถูกทำลายจากศัตรูพืชและดินฟ้าอากาศที่แปรปรวนจนอาจทำให้โลกเกิดความขาดแคลนอาหารอย่างหนัก

หลายคนไม่มีรายได้ อยู่ได้ด้วยเงินเก็บหอมรอมริบ

เงิน เป็นความมั่นคงของชีวิต

ไม่มีเงิน ก็จะดำรงชีวิตด้วยความยากลำบาก

ต่างต้องอยู่อย่างประหยัดมัธยัสถ์

ต่างก็มีภาระค่าใช้จ่าย

มีครอบครัวให้ดูแล

แต่ก็ยังนำปัจจัยมาบริจาคช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์

ยังนำสิ่งของที่ตนมีมาแบ่งปันผู้อื่น

ยังใส่บาตรพระทุกเช้า ยังคงไปถวายภัตตาหารที่วัด ให้พระมีแรงประพฤติปฏิบัติธรรม ทำกิจของสงฆ์ เป็นอายุพระศาสนา

ยังถวายปัจจัยทำบุญบำรุงวัด เพื่อรักษาฐานที่มั่นในการเผยแผ่ธรรม

บางท่านถือโอกาสชิงช่วงเวลาที่อยู่บ้าน มาเป็นเวลาแห่งการปฏิบัติธรรม

ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา

บางท่านมาวัด สวดธรรมจักร เวียนประทักษิณหน้าพระมหาธรรมกายเจดีย์

มาสาธยายแม่บทแห่งธรรม ณ แหล่งแห่งเนื้อนาบุญของโลก

ทั้งหมดนี้คือการพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสของนักสร้างบารมี

ชิงช่วงการสร้างบารมีในยุคทุพภิกขภัย เฉกเช่นเดียวกับยอดนักสร้างบารมีทั้งหลายในกาลก่อน

และด้วยบุญนี้ จะทำให้ทุกคนรอดปลอดภัย และมีชัยชนะผ่านพ้นวิกฤตการไปได้อย่างแน่นอน

ที่มาภาพและเนื้อหา

คิดอย่างไรกับเรื่องนี้