อโรคยา ปรมาลาภา ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ
นี่คือพุทธดำรัส ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของการรักษาสุขภาพของคนทั้งปวง
เราอาจเคยฟังพระอายุ ๘๐-๙๐ ปี สาธยายธรรมได้ลึกซึ้งแยบคาย ได้เป็นระยะเวลายาวนาน
เราอาจเคยเห็นพระธุดงค์ฉันมื้อเดียว แต่สามารถแบกกลดเดินป่า สามารถบิณฑบาตได้ทุกวันระยะทางไกลๆหลายกิโลเมตร
เราได้เห็นสมภาร แม้สูงวัย แต่ก็สามารถบริหารวัด บริหารกิจการคณะสงฆ์ได้เป็นอย่างดี
หลวงปู่ หลวงพ่อ มักมีผิวพรรณ์ผ่องใส หน้าอ่อนกว่าวัย
หลวงปู่ที่มีอายุเกิน ๑๐๐ ปี ก็มีไม่น้อย
แล้วเราต้องทำอย่างไร ถึงแข็งแรงสุขภาพดีเหมือนอย่างท่าน
ขยะตกค้างในร่างกาย ต้นเหตุแห่งความเสื่อม
นักวิทยาศาตร์ค้นพบมานานแล้วว่า
เมื่อร่างกายมีของเสียหรือเซลล์เสื่อมเซลล์ตายตกค้างอยู่ในอวัยวะ
ซึ่งเกิดจากการทำงานหนักของร่างกาย การอักเสบของเซลล์ การได้รับมลพิษ
เซลล์ก็จะแบ่งตัวได้ไม่ดี อวัยวะนั้นก็จะเสื่อม ทำงานไม่ได้ตามปกติ นำไปสู่การเกิดโรค ความเสื่อม และการแก่ก่อนวัย
ดังเช่นคำกล่าวของ ดร. แอนเน็ต บอสเวิร์ธ แพทย์หญิงชาวอเมริกันที่ว่า
“ถ้าเราส่องกล้องดูเนื้อเยื่อสมอง จะเห็นว่ามีเศษตกค้างอยู่
เศษตกค้างเหล่านี้คือ พลั๊ค (plague) ที่ถูกกำจัดไม่หมด เช่นไขมันหืน โปรตีนที่เสื่อมสภาพ
และถ้าเปรียบเป็นขยะก็ควรมีรถขยะมาเก็บไป
แต่บางทีในสมองของคุณก็อาจทำงานได้ไม่ดีนัก
ถ้ามีขยะเล็กน้อยก็ไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าขยะสะสมไปทุกปีๆ
ขยะเหล่านี้จะกลายเป็นตัวบ่งชี้ถึงการเกิดโรคต่างๆ เช่น อัลไซเมอร์ พาร์คินสันและความจำเสื่อมได้
ถ้าเราเริ่มจำอะไรไม่ค่อยได้ หมายความว่าพลั๊คเหล่านั้นสะสมตัวมากว่า ๑๕ ปีแล้ว
และจำนวนของที่พลั๊คมากก็ส่งผลต่อการทำงานของสมองด้วย”
คาร์โบไฮเดรตที่มากเกินไป ก่อให้เกิดสารพัดโรค
คนจำนวนมาก หลีกเลี่ยงไม่รับประทานไขมัน เพราะกลัวอ้วน เพราะเชื่อว่าไขมันคือสาเหตุของโรคมากมาย
แต่บางคนไม่ทราบเลยว่า คาร์โบไฮเดรต (ข้าว แป้ง น้ำตาล) ส่วนเกิน จะถูกร่างกายแปลงเป็นไขมัน
ถูกจัดเก็บไว้ในเซลล์ไขมัน ไปรวมกับไขมันที่รับประทานเข้าไป
เมื่อใดไขมันสะสมมีมากเกินกว่าที่เซลล์ไขมันจะกักเก็บได้
ไขมันก็จะล้นไปพอกตามอวัยวะ ตับ หัวใจ ไปอุดตันเส้นเลือด
คาร์โบไฮเดรตที่ไม่สามารถแปลงเป็นไขมันสะสมได้ ก็จะกลายเป็นน้ำตาล ตกค้างในเส้นเลือด ไปเกาะตามเซลล์ต่างๆ
ทำให้ผนังเลือด เซลล์ต่างๆ อวัยวะต่างๆ เกิดการอักเสบเสียหาย
พลังงานส่วนเกินเหล่านี้ คือต้นเหตุแห่งโรคตับ หัวใจ เบาหวาน ความดัน รวมถึงโรคอักเสบเรื้อรังทั้งปวง
และความไม่เข้าใจหลักการทำงานของคาร์โบไฮเดรตนี้ ทำให้หลายท่านไม่ว่าจะปรับการทานอย่างไร สุขภาพก็ไม่ดีขึ้นสักที เช่น
ลดไขมัน แต่น้ำหนักไม่ลดสักที
ลดน้ำตาล แต่เบาหวานไม่หายสักที
น้ำตาลในหลอดเลือดที่สูงเกินไป
จากบทความทางการแพทย์ เมื่อ Aug 19, 2012 โดยนายแพทย์ Dr. Dwight Lundell
เมื่อน้ำตาลตกค้างในหลอดเลือด ผิวหลอดเลือดจะเกิดรอยครูดจากเกร็ดน้ำตาล เหมือนถูกขูดด้วยกระดาษทราย เกิดบาดแผล เกิดการอักเสบ
จากนั้นคอเลสเตอรอลก็จะถูกใช้เพื่อการซ่อมแซมเซลล์ โดยจะเข้าไปพอกบริเวณที่อักเสบ
เมื่อพอกสะสมนานเข้าจะกลายเป็นผังผืดในหลอดเลือด ส่งผลให้หลอดเลือดค่อยๆตีบในที่สุด และทำให้หลอดเลือดแข็ง ขาดความยืดหยุ่น จนส่งผลให้เกิดโรคเรื้อรังตามมามากมาย
ที่มา: นายแพทย์ Dr. Dwight Lundell อดีตเป็นหัวหน้าทีมแพทย์ผ่าตัดที่ Banner Heart Hospital , Mesa , AZ.สหรัฐอเมริกา เป็นศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดหัวใจและหลอดเลือด มากว่า25ปี
AUTOPHAGY กระบวนการทำความสะอาดร่างกาย
ศาสตราจารย์ โยชิโนริ โอสุมิ นักชีววิทยาประจำสถาบันเทคโนโลยี่แห่งโตเกียว-Tokyo Institute of Technology
ได้ค้นพบว่า
ร่างกายมนุษย์มีกระบวนการทำความสะอาดเซลล์ไม่ดี เรียกว่า กระบวนการ AUTOPHAGYหรือการกินตัวเองของเซลล์
นำทางไปสู่การรักษาโรคแห่งความเสื่อม เช่น อัลไซเมอร์ พาร์คินสัน มะเร็งและเบาหวานได้
เมื่อท้องหิว ร่างกายไม่ได้รับอาหาร หรือทานโปรตีนไม่เพียงพอ
ร่างกายก็จะไปหาอาหารด้วยการกลืนกินเซลล์ที่ไม่ดี นำโปรตีน เซลล์เสื่อมสภาพ สิ่งตกค้างทั้งหลายมาแยกส่วน เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล หมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่
ทำให้ร่างกายได้วัตถุดิบใช้เป็นแหล่งพลังงาน และนำมาใช้ในการผลิตโครงสร้างเซลล์ใหม่
ทั้งยังได้ซ่อมและทำความสะอาดเซลล์เก่า ยืดอายุเซลล์เดิม
อวัยวะต่างๆก็สามารถกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้กระบวนการ Autophagy ยังสามารถกำจัดสิ่งแปลกปลอมซึ่งบุกรุกเข้ามาในเซลล์ เช่น แบคทีเรีย ไวรัสและสารพิษได้อีกด้วย
ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน สามารถชะลอวัย
เป็นกระบวนการเยียวยาตัวเองของร่างกาย
ซึ่งการค้นพบกระบวนการออโตฟาจี้ของศาสตราจารย์ โยชิโนริ ทำให้ท่านได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาและการแพทย์ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙
อดอาหาร กระตุ้นกระบวนการเยียวยาตัวเอง
การกระตุ้นให้เกิดกระบวนการออโตฟาจี้ ดร. แอนเน็ต บอกว่า
“คือการอดอาหาร”
“คนที่กินคาร์โบไฮเดรตเป็นหลัก ต้องอดอาหารอย่างน้อย ๗๒ ชั่วโมงจึงเกิดกระบวนการนี้
ส่วนคนที่กินไขมันเป็นหลัก อดอาหารเพียง ๑๒ ชั่วโมงก็เกิดออโตฟาจี้”
ทั้งนี้นักวิจัยจากสาธารณรัฐเช็กทำการศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพการกินอาหาร ของผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภทที่ ๒
ระหว่างการแบ่งมื้ออาหารเป็นหลายๆ มื้อ กับการกินอาหารเพียง ๒ มื้อ
โดยมีปริมาณอาหารเท่าๆ กัน เป็นเวลา ๑๒ สัปดาห์
พบการกินอาหาร ๒ มื้อสามารถช่วยให้ผู้ป่วยลดน้ำหนักและควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีกว่าผู้ที่กินอาหารหลายมื้อ

ปัจจุบันเกิดแนวทางการณ์รักษาสุขภาพแบบใหม่ที่เรียกว่า Intermittent Fasting (IF)
หัวใจหลักของ IF คือ รับประทานอาหารเป็นช่วงเวลา
เช่น ๑๘/๖ หมายความว่า ใน ๑ วัน มีช่วงเวลาของการทานอาหารเพียง ๖ ชั่วโมง และเว้นจากอาหารเป็นเวลา ๑๘ ชั่วโมง
ระหว่างช่วงเวลาเว้นจากอาหาร ต้องไม่มีพลังงานเข้าสู่ร่างกายเลย
ซึ่งเป็นวิธีการรักษาสุขภาพ ที่ได้รับการยอมรับจากวงการแพทย์ และเป็นที่นิยมไปทั่วโลก
จากการติดตามสังเกตของผู้เขียน มีคนจำนวนมาก หายจากโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคไขมันพอกตับได้อย่างรวดเร็ว
ไม่ต้องทานยาตลอดชีวิต จากการรักษาสุขภาพด้วยวิธีนี้
พุทธบัญญัติเพื่อการมีอายุยืน
พระบรมศาสดาทรงตรัสต่อพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า
“มนุษย์ผู้มีสติอยู่ทุกเมื่อ
รู้จักประมาณในโภชนะที่ได้แล้ว
ย่อมมีเวทนาเบาบาง
เขาย่อมแก่ช้า อายุก็ยั่งยืน“

มีพุทธบัญญัติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อ ๒,๖๐๐ ปีที่ผ่านมา
กำหนดให้ภิกษุสามเณรทุกรูป
“บริโภคอาหารเพียง ๒ มื้อ คือมื้อเช้าหลังพระอาทิตย์ขึ้นและมื้อเพลก่อนเที่ยง”
เท่ากับว่า พระภิกษุสามเณร จะมีช่วงเวลาท้องว่างวันละ ๑๘ ชั่วโมง
ทำให้ร่างกายได้ซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอและได้กำจัดของเสียออกจากเซลล์
การที่พระฉันอาหารเป็นเวลา ทำให้ร่างกายทำงานได้อย่างเป็นระบบตามหลักนาฬิกาชีวิต
สามารถควบคุมการหลั่งของน้ำย่อย ทำให้ห่างไกลโรคกระเพาะ
ฮอร์โมนอินซูลินก็จะหลั่งเป็นเวลา ร่างกายจะลดการสะสมพลังงาน และจะเข้าสู่กระบวนการเผาผลาญพลังงานอย่างเต็มที่
คำแนะนำของพระบรมศาสดา ที่ให้ฉันพออิ่ม เมื่อรู้สึกว่าอีก ๔-๕ คำจะอิ่มให้หยุดฉัน ทำให้ไม่ได้รับอาหารส่วนเกิน พระก็มีอิสระ สามารถฉันอะไรก็ได้
ข้อกำหนดที่พระบรมศาสดาให้พระบิณฑบาตตอนเช้า เป็นการบริหารร่างกายขณะที่ท้องว่าง ทำให้ร่างกายได้เผาผลาญไขมันสะสม ซึ่งเป็นพลังงานส่วนเกินได้อย่างเต็มที่
ทั้งหมดนี้
เป็นการดีท็อกซ์ร่างกาย คืนความสมดุลให้กับร่างกาย
ทำให้อวัยวะต่างๆกลับมาทำงานได้ดีเหมือนเดิม
เป็นแนวทางปฏิบัติจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะเป็นหลักประกันต่อพระภิกษุสงฆ์ให้ห่างไกลโรค แม้สูงวัย แต่ก็จะมีสุขภาพที่ดี
สามารถขับเคลื่อนงานพระศาสนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยังสามารถทำกิจของสงฆ์ได้ด้วยตัวเอง
ไม่ต้องเป็นภาระใคร ไม่ต้องให้ใครมาดูแล
อย่างไรก็ตาม
หลักปฏิบัติเพื่อการมีอายุที่ยืนยาวโดยปราศจากโรค
ยังขึ้นอยู่กับการได้รับสารอาหารในแต่ละมื้อที่ได้สัดส่วนและครบ ๕ หมู่
การรับคาร์โบไฮเดรตเข้าสู่ร่างกายมากเกินไป การฉันปานะและภัตตาหารที่ได้รับอนุโลมหลังเพล ทำให้ลดระยะเวลาที่เกิดกระบวนการซ่อมแซมเซลล์ในแต่ละวัน
เป็นสาเหตุปัญหาสุขภาพของพระในปัจจุบัน

บทสรุป พุทธบัญญัติกับวิทยาการทางการแพทย์สมัยใหม่
ผู้คนเชื่อกันตลอดมาว่า ต้องรับประทาน ๓ มื้อ ถึงจะมีสุขภาพแข็งแรง

แต่ความรู้เรื่องกระบวนการออโตฟาจี้และความก้าวหน้าของวิทยาการทางการแพทย์สมัยใหม่
ได้อธิบายพุทธบัญญัติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในเรื่องการฉัน ๒ มื้อของพระว่า
ไม่ใช่เรื่องผิดธรรมชาติ แต่เป็นเรื่องปกติ มีผลดีต่อสุขภาพ และสามารถปฏิบัติได้กับคนทุกวัย
ในขณะเดียวกัน หลักปฏิบัติในการฉันของพระ คือบทพิสูจน์จากการปฏิบัติของชาวพุทธกว่า ๒๖๐๐ ปี
รับรองต่อคนทั้งโลกว่า
การจำกัดเวลารับประทานอาหาร คือวิธีรักษาสุขภาพแบบสายกลาง ที่ปราศจากผลข้างเคียง ทำให้มีอายุยืนยาวห่างไกลโรค
.
ผู้เขียนเชื่อว่า หากทุกคนจำกัดเวลารับประทานอาหาร ทานอาหารให้ครบ ๕ หมู่อย่างได้สัดส่วน ทานแค่พออิ่ม และบริหารร่างกายบ้าง
จะทำให้โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคความดัน โรคไขมันพอกตับ และอีกสารพัดโรค
หมดไปจากพระภิกษุสามเณรและคนไทยทุกคนได้อย่างง่ายๆแน่นอน
แนะนำให้ดูคลิปจากคุณหมอประกอบการอ่านบทความ
หมอทิม เป็นเจ้าของเพจ
“เพื่อนเบาหวาน”
กำลังทำโครงการ หายจากเบาหวานโดยไม่ต้องทานยาตลอดชีวิต
EP6.แก้ไขภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน
และ EP7. IFเกิน16ชั่วโมงจะเป็นอะไรไหม
หมอป๊อก เป็นเจ้าของเพจ
“diet doctor thailand”
ได้สรุปบทความทางการแพทย์ที่พูดถึงประโยชน์ของกระบวนการ AUTOPHAGY ไว้ในคลิปนี้
ชมคลิปรีวิวหลักการทำงานของระบบเผาผลาญของร่างกาย
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ เพิ่มเติม
- ยืดชีวิต..ด้วยเทคนิคเซลล์กินเซลล์
- ผลวิจัยชี้กิน 2 มื้อลดรอบเอวได้
- พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับมหาจุฬาฯ) เล่มที่ ๑๕ สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค โทณปากสูตร
- ภาพประกอบบทความ หน้าปก
- ภาพจากเพจการบ้าน
- ภาพจากบล็อก ภาพ ดีๆ 072
- ภาพประกอบบทความ สุขภาพดีไม่มีขาย