เป้าหมายของนักวิทยาศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ นักจิตวิทยา และนักปฏิบัติธรรม
มีเหมือนกันก็คือ
ต้องการแสวงหาความจริง
นักวิทยาศาสตร์ ต้องการพิสูจน์ความจริงของธรรมชาติ
เพื่อรักษาสุขภาพยืดอายุให้ยืนยาวบ้าง
ศึกษาดวงดาวนอกโลกบ้าง
พัฒนาเทคโนโลยีให้ล้ำสมัยบ้าง
ทว่ามนุษย์ก็มิอาจหยุดยั้งภัยธรรมชาติ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย หรือความทุกข์ได้เลย
นักประวัติศาสตร์ ต้องการแสวงหาความจริงในอดีต แต่เรื่องราวในอดีตก็ยังมิอาจเป็นบทเรียนให้มนุษย์จดจำได้เลย สงคราม การกดขี่ การช่วงชิง ก็ยังเกิดขึ้นอยู่
นักจิตวิทยา ต้องการศึกษาจิตใจของมนุษย์ แต่มนุษย์ก็ยังมีความขัดแย้ง ทะเลาะเบาะแว้ง ไม่ยอมเข้าใจกันสักที
สำหรับนักปฏิบัติธรรม ต้องการศึกษาความจริงของชีวิต ค้นหาความรู้เพื่อความพ้นทุกข์

ความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์
การค้นคว้า วิจัย คิดค้น ค้นพบใดๆในโลกนี้
ต้องสิ้นเปลืองแรงกาย แรงใจ ต้องใช้ทรัพยากรและงบประมาณมากมาย
สิ่งที่ค้นพบ คือความรู้จากการคิดวิเคราะห์ ภายใต้จินตมยปัญญา
เป็นความรู้ที่สำเร็จด้วยการคิด ซึ่งในทางพระพุทธศาสนาถือเป็นความรู้ระดับกลางเท่านั้น
หลายครั้งก็เป็นความรู้ที่ไม่สมบูรณ์ เป็นความรู้ที่ต้องตีความ เป็นความรู้ที่จดจำต่อๆกันมา
เราจะเห็นการถกเถียงทางวิชาการเกิดขึ้นทั่วโลก ในทุกสาขาอาชีพ
เราจะเห็นการค้นพบใหม่ๆ ความรู้ใหม่ๆ หักล้างความเชื่อหรือความรู้เก่าๆตลอดเวลา จนเป็นเรื่องปกติ
หลายๆครั้งผู้คนก็นำความรู้ที่ค้นพบไปใช้ในทางที่ผิด
นำไปก่อสงคราม สร้างอาวุธร้ายแรงเพื่อห้ำหั่นกันเอง
ดังเช่นเรื่องราวความเสียใจของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่เขาค้นพบ ถูกนำไปสร้างเป็นระเบิดปรมาณู
และนำไปใช้เพื่อหวังผลชัยชนะของสงคราม
ที่เมืองฮิโรชิมาและเมืองนางาซากิประเทศญี่ปุ่น
จนมีผู้คนล้มบาดเจ็บล้มตายนับล้านคน
เขากล่าวว่า
“ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ควรนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางสันติ มากกว่าจะนำมาใช้ เป็นเครื่องมือทำสงครามกัน
บทเรียนนี้ ควรที่มนุษย์จะต้องตระหนัก ถึงคุณและโทษของวิทยาศาสตร์ให้มาก
วิทยาศาสตร์จะให้ผลอย่างไรก็อยู่ที่ใจของมนุษย์เองทั้งสิ้น”
ความรู้ของนักปฏิบัติธรรม
หลวงพ่อคุณครูไม่ใหญ่เคยขยายความไว้ว่า
คุณวิเศษในทางพระพุทธศาสนานั้นมีจริง และทุกคนก็สามารถปฏิบัติให้เข้าถึงได้ ถ้าใจหยุดนิ่ง
ซึ่งความรู้ในทางพระพุทธศาสนาท่านเรียกว่า วิชชา
เป็นความรู้อันบริสุทธิ์ที่เกิดจากใจหยุดนิ่ง ยิ่งรู้ก็ยิ่งบริสุทธิ์ และก็มีความสุขควบคู่ไปด้วย
วิชชา ๘ ได้แก่
๑.วิปัสสนาญาณ ญาณอันนับเข้าในวิปัสสนา ที่สามารถพิจารณาเห็นไตรลักษณ์ความไม่เที่ยงของสังขารร่างกาย
๒.มโนมยิทธิ ฤทธิ์ทางใจ สามารถที่จะปาฏิหาริย์กายจากคนเดียวให้เป็นร้อยเป็นพันคนก็ได้
๓.อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ เหาะเหินเดินอากาศได้ เดินบนน้ำได้ ใช้อิทธิปาฎิหาริย์ลูบคลำดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวก็ได้
๔.ทิพโสต หูทิพย์ ได้ยินเสียงแม้อยู่ในที่ไกลๆ ไกลถึงร้อยโยชน์พันโยชน์ หากมีความปรารถนาจะได้ยินแล้ว ก็สามารถได้ยินหมด
๕.เจโตปริยญาณ กำหนดรู้ใจคนอื่นได้ เมื่อต้องการจะรู้ว่าคนนี้มีใจสะอาดหรือไม่สะอาด เขามีความคิดอย่างไร จะพูดอย่างไรกับคนนี้เขาจึงจะรู้เรื่อง ก็ต้องรู้ใจเขาก่อน
๖.บุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติของตัวเองได้
๗.ทิพพจักขุ มีตาทิพย์ แม้จะอยู่ในที่มืด หรืออยู่ห่างไกลกันเพียงไร หากปรารถนาจะดูก็เห็นได้ เหมือนจับมาวางอยู่ตรงหน้า
๘.อาสวักขยญาณ รู้วิธีทำอาสวะให้สิ้นไป อาสวะมี ๓ อย่าง คือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ที่เป็นเหตุให้เกิดในภพหรืออรูปภพ ทำให้ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท ก็ตัดขาดได้หมด
วิชชาเหล่านี้ เป็นความรู้แจ้ง รู้วิเศษ เหนือสามัญชนธรรมดา
นอกจากนี้ยังมี ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ เป็นญาณที่แตกฉานในด้านต่างๆ ตั้งแต่
อัตถปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในอรรถ คือ เข้าใจความหมายของเนื้อหาหรือถ้อยคำต่างๆ เข้าใจถึงผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วยอนาคตังสญาณ
ธัมมปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในธรรม หมายถึงเข้าใจแจ่มแจ้งในพุทธภาษิตที่พระพุทธองค์ทรงแสดง หรือเมื่อมองเห็นผลแล้ว ก็สามารถสาวไปหาเหตุได้ด้วยอตีตังสญาณ
นิรุตติปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในภาษาต่างๆ ใครพูดภาษาอะไรก็รู้เรื่อง และโต้ตอบได้โดยไม่ต้องเสียเวลาไปศึกษา หรือท่องจำ
ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ คือ ความเฉลียวฉลาดและมีปฏิภาณไหวพริบ แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี เมื่อรู้ธรรมะแล้ว ยังสามารถนำมาใช้ได้อย่างพอเหมาะพอสมอีกด้วย
” คุณวิเศษต่างๆ เหล่านี้ ล้วนเกิดขึ้นมาจากอานุภาพของใจที่หยุดนิ่งได้อย่างสมบูรณ์แล้ว
ถ้าหากตั้งใจประพฤติปฏิบัติฝึกฝนกันอย่างจริงจังให้ได้ทุกวัน
และทำให้ถูกวิธี ด้วยการนำใจมาหยุดไว้ที่ต้นแหล่งที่จะทำให้เกิดพลานุภาพ คือ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ของเรา
เราก็สามารถจะทำได้
มีผู้รู้ได้กล่าวไว้ว่า
พลังกายต้องเคลื่อนไหว แต่พลังใจต้องหยุดนิ่ง เพราะใจที่หยุดนิ่งเป็นใจที่มีอานุภาพที่ไม่มีประมาณ”
“นักวิทยาศาสตร์เขา สามารถผลิตยานอวกาศไปนอกโลกได้ ไปดวงจันทร์ดวงดาวได้
แต่ใจที่หยุดนิ่งเป็นสมาธิ นุ่มนวลควรแก่การงานแล้ว จะน้อมไปทางไหนก็ได้เหมือนกัน
ถ้าหากเข้าถึงพระธรรมกายและได้ศึกษาวิชชาธรรมกายแล้ว อาศัยธรรมกายไปตรวจดูโลกต่างๆ ทวีปต่างๆ ได้หมด ไม่ว่าจะเป็นอุตตรกุรุทวีป ปุพพวิเทหทวีป อมรโคยานทวีป หรือทวีปอื่นๆ ที่ไกลออกไป
ไปดูว่าเขามีอายุ มีความเป็นอยู่กันอย่างไร
หากว่าละเอียดยิ่งไปกว่านั้น ก็ไปตรวจดูกายทิพย์ในสุคติโลกสวรรค์ได้
ถ้าละเอียดมากก็ยิ่งรู้เห็นกว้างขวางมากขึ้นไปเรื่อยๆ
ซึ่งเป็นความลี้ลับที่นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถที่จะหาอุปกรณ์ใดๆ ในโลกไปสำรวจได้
เพราะมีวิธีการเดียวเท่านั้น คือ อาศัยใจที่หยุดนิ่ง เป็นวิธีการทางพระพุทธศาสนานี่แหละ”
วิชชาธรรมกายคือ ธรรมะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบในวันตรัสรู้
หลังพุทธปรินิพพาน ๕๐๐ ปี วิธีปฏิบัติเพื่อเข้าถึงธรรมกาย ได้หายสาบสูญไป
คงเหลือไว้แต่คำว่า “ธรรมกาย” ในพระไตรปิฎก เท่านั้นเอง
กระทั่งวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๐ ปี พ.ศ. ๒๔๖๐
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) หลวงปู่วัดปากน้ำ
หลังจากได้ผลการปฎิบัติธรรมเห็นดวงธรรมแล้ว ท่านมั่นใจว่ามาถูกทางแล้ว
ท่านจึงได้ตั้งสัตยาธิษฐานสละชีวิตเป็นเดิมพัน
จะไม่ลุกออกจากที่ ถ้าไม่ได้เห็นธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บรรลุ
ในที่สุดท่านได้เข้าถึง และค้นพบวิชชาธรรมกาย เป็นพยานยืนยันการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
นำความรู้ที่สำคัญที่สุดของมนุษยชาติที่สูญหายไป ให้หวนกลับคืนมาอีกครั้ง และนำมาเผยแผ่ต่อชาวโลก
๑๐ ตุลาคม ที่จะถึง เป็นวันคล้ายวันเกิดด้วยกายเนื้อของท่าน
หากไม่มีวันนี้…
โลกก็จะไม่มีโอกาสได้รู้จัก “วิธีปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงธรรมกาย” เลย
มนุษยชาติก็จะสูญเสียความรู้อันล้ำค่า ที่เป็นแสงสว่างเป็นหนทางที่แท้จริง ที่จะทำให้พ้นทุกข์และเข้าสู่บรมสุข คือ นิพพาน

ที่มาภาพและเนื้อหา
ประวัติอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
พระธรรมเทศนาเรื่อง วิชชาในพระพุทธศาสนา
ประวัติพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)