การเผชิญกับภัยพิบัติจากโควิด19 ตามแนวทางพระพุทธศาสนา
ธรรมเทศนาในอาทิตย์ต้นเดือนที่ผ่านมา 4 กรกฎาคม 2564 หลวงพ่อทัตตชีโว, ท่านได้เล่าถึงหลักคิดในสถานการณ์ที่ต้องเผชิญกับภัยพิบัติโรคระบาด
ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของเป้าหมายปฏิบัติธรรมผ่าน zoom พร้อมกัน 1 ล้านคน สวดธรรมจักร 10,000 ล้านจบ ว่าจะสามารถช่วยประเทศและโลกนี้

ได้ถอดเป็นบทความสรุปมาให้อ่านดังนี้
***ตอนที่ 1
.
ชาวโลกรู้แต่ว่า มีเกิดแก่เจ็บตาย อยู่ได้ด้วยข้าวปลาอาหาร
แต่พระพุทธศาสนาสอนเอาไว้ว่า แต่ละวินาทีที่ผ่านไปนั้นไม่ใช่แค่อายุของเราที่ผ่านไป
แต่ยังรวมไปถึง บุญที่ต้องใช้แต่ละวินาทีที่ผ่านไปอีกด้วย
เราทุกคนประกอบด้วยกายและใจ
ร่างกาย..ต้องการข้าวปลาอาหาร
ส่วนใจ..ก็ต้องการบุญ
เราทุกคนต่างก็ต้องการทั้งอาหารหล่อเลี้ยงกาย และบุญละเอียดเป็นอาหารหล่อเลี้ยงใจ
เหมือนกับรถที่ต้องการทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงและไฟฟ้าเพื่อจุดระเบิดเพื่อให้น้ำมันเชื้อเพลิงเผาไหม้ให้รถขับเคลื่อนได้
.
ชาวโลกรู้แต่ว่า ความเจริญรุ่งเรืองขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถ ความทุ่มเทพยายาม
แต่หลวงพ่อบอกว่า.. ถูกแค่ครึ่งเดียว
“อย่างโรคระบาดที่มาเยือนอยู่ในขณะนี้
เราก็ใช้ความรู้ความสามารถและตั้งใจทุ่มเททำงานของเราเหมือนเดิม แต่กลับไม่สำเร็จประโยชน์เช่นเคย”
คนในโลกนี้ไม่รู้ว่ามนุษย์เป็นผู้กุมชะตาของดินฟ้าอากาศ
หลวงพ่อบอกว่า “การโคจรดวงเดือนดวงดาวทั้งหลายแหล่ ขึ้นอยู่กับมนุษย์นะ แต่มนุษย์ไม่รู้”
โหรทั้งหลายใช้การคำนวณการโคจรเคลื่อนที่ของดวงดาว เพื่อพยากรณ์ความเป็นไปของโลกหรือชะตาของมนุษย์
เพราะโหราศาสตร์ทั้งหลายในโลกนี้มองว่า
ความเจริญหรือความเสื่อมของมนุษย์ แม้กระทั่งทุพภิกขภัยหรือเหตุการณ์ทั้งหลายในโลก
ขึ้นอยู่กับการโคจรเคลื่อนที่ของดวงเดือนดวงดาว
แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า
บุญบาปที่มนุษย์ทำต่างหาก สะเทือนไปถึงดวงเดือนดวงดาวดวงอาทิตย์ ทำให้วิปริตแปรปรวนโคจรผิดลู่ผิดทางไป
หลวงพ่อจึงสรุปว่า..
“ความเจริญความเสื่อมของมนุษย์ไม่ได้อยู่ที่ดวงเดือนดวงดาว ความเจริญความเสื่อมของมนุษย์อยู่ที่กรรมของมนุษย์สร้างกันเอง”
ตอนคุณยายยังมีชีวิตท่านก็ได้ย้ำเตือนว่าความเจริญหรือความเสื่อมของมนุษย์ขึ้นอยู่กับบุญและบาปบุญมากบาปน้อยทำอะไรก็สำเร็จ
ครอบครัวก็เช่นกัน หากบุญของสมาชิกทุกคนในครอบครัวรวมกันแล้วมากกว่าบาป ครอบครัวนั้นก็ยังรุ่งเรืองอยู่
หากบาปกับบุญใกล้เคียงกัน ก็จะเริ่มระหองระแหงมีเรื่องกระทบกระทั่งกันในครอบครัว
ถ้าเมื่อไหร่บาปมากกว่าบุญครอบครัวแตกแยกทันที
ในห้างร้านบริษัท ถ้าบุญของเจ้าของบริษัทและพนักงานทุกคนรวมกันมากกว่าบาป บริษัทนั้นก็เจริญ
ถ้ารวมกันแล้วบาปมากกว่าบุญ บริษัทนั้นก็อยู่ไม่ได้
หรือไม่ว่าวัดในศาสนาไหน ถ้าสมาชิกในวัดนั้นบุญรวมกันมากกว่าบาป วัดนั้นในศาสนานั้นก็เจริญ
แต่ถ้าบาปมากกว่าบุญ วัดนั้นศาสนานั้นก็อยู่ไม่ได้
“ประเทศชาติก็เช่นเดียวกัน…
ประเทศชาติไหนประชาชนตั้งแต่ระดับผู้นำจนกระทั่งรากหญ้าบุญรวมกันมากกว่าบาป ประเทศนั้นเจริญ
ถ้าบาปมากกว่าบุญประเทศนั้นตกต่ำ”
.
หลวงพ่อให้ข้อคิดว่า
“ขณะนี้ทั่วโลกประสบโรคระบาดโควิด..
นั่นก็ฟ้องว่า ตอนนี้ทั้งโลก..บาปกับบุญมันปริ่มๆกันแล้ว
ที่ใครหนักหนาสาหัสมีโรคระบาดหนักกว่าที่อื่น ประชาชนล้มตายมากกว่าที่อื่น หยูกยาขาดแคลนมากกว่าที่อื่น
มันก็ฟ้องว่าที่นั่นบาปของคนทั้งประเทศกำลังจะท่วมบ้านท่วมเมือง”
.
“แต่ว่าพอเดือดร้อนขึ้นมาแล้ว บ้านเมืองตกต่ำแล้ว จะไม่มีใครคิดถึงเรื่องบุญ จะมีแต่โทษกันไปโทษกันมา
แต่ถ้าประเทศไหนคนในประเทศนั้นยังมีบุญอยู่ ก็จะได้ผู้นำรวบรวมสติปัญญา ชักชวนกันทำความดี ชักชวนกันสามัคคี ชักชวนประชุมกัน
แล้วก็ร่วมใจกันแก้ไขบ้านเมือง
ถ้าอย่างนั้นประเทศนั้นก็อยู่รอด
แต่ว่าถ้าประเทศไหนผู้นำหย่อนสมรรถภาพ เอาแต่โทษกันไปโทษกันมา
ถ้าอย่างนั้นประชาชนรวมทั้งผู้นำเอง…ในที่สุดก็เดือดร้อน ตกต่ำกันหมด”
หลวงพ่อท่านแนะนำว่า
ตอนนี้ต้องช่วยตัวเองก่อน..ให้รีบเติมบุญ
เติมบุญให้ตัวเองก็คือเติมบุญให้ประเทศชาติและโลกด้วย
แล้วก็จับมือกันในครอบครัวช่วยกันเติมบุญ
แม้บริษัทห้างร้านหรือวัด
ก็ให้ตั้งใจสร้างบุญกันให้เต็มที่
ชวนประชาชนย่านนั้นทำบุญให้เต็มที่”
เดี๋ยวก็จะกลายเป็นชวนกันทั้งประเทศ
บ้านเมืองนั้นก็จะเจริญฟื้นคืนมาได้อย่างน่าอัศจรรย์”
.
หลวงพ่อกำชับว่า
ถ้าบุญมันท่วมบาป ในทางกายภาพ เดี๋ยวโรคภัยทั้งหลายก็แพ้วิธีการทางโลกคือ แพ้วัคซีน แพ้หยูกยากันไป
ในทางธรรมมันก็แพ้บุญ
แล้วก็จะได้ผู้นำที่ดีมีแต่เห็นอกเห็นใจกัน ต่างไม่คิดรังแกกัน ต่างจะคิดช่วยเหลือกัน ต่างจะให้ทาน ต่างจะพยุงกันไป ต่างจะรักษาศีล ไม่เอาเปรียบกัน
ถ้าอย่างนี้เดี๋ยวทุกอย่างจะฟื้นขึ้นมา
รับชมโอวาทเต็มได้ในลิงก์
ที่มาภาพและเนื้อหา
- ภาพจาก เว็บซูม
- เนื้อหาจากห้องซูมงานบุญวันอาทิตย์ในแต่ละห้อง และถ่ายทอด GBN
- คลิปหลวงพ่อเทศน์ฉบับช่วงบ่าย เฉพาะช่วงที่เทศน์
- ภาพจากบล็อกภาพดี ๆ 072
- ภาพจากเว็บ canva